วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ภาวนารักษาโรคมะเร็ง

เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๔ ข้าพเจ้ารับราชการเป็นอนุศาสนาจารย์กองทัพภาคที่ ๒ ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ได้ป่วยเป็นโรคทางเดินปัสสาวะ จึงไปรับการรักษาตัวที่ รพ.ค่ายสุรนารี หมอรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล และระหว่างที่อยู่ในโรงพยาบาลนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าก้อนเนื้อแข็งเป็นไตแข็งอยู่ใต้ใบหูด้านขวา เมื่อเห็นว่าอาการโรคทางเดินปัสสาวะทุเลาลงแล้ว จึงได้ขอร้องให้หมอช่วยทำการผ่าตัดออกให้ โดยที่ตัวเองและหมอก็ไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไร

พันโท นายแพทย์ วณิช จึงได้ทำการผ่าตัดและได้จัดส่งก้อนเนื้อนั้นไปโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ทำการตรวจอีกครั้งว่าเป็นโรคอะไร ครั้นต่อมาทาง รพ.พระมงกุฎฯ ได้แจ้งไปว่า ก้อนเนื้อนั้นมีเชื้อมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง ข้าพเจ้าจึงถูกส่งตัวมารักษาโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ด่วน เพื่อรับการรักษาต่อ ทางโรงพยาบาลได้รีบทำการผ่าตัดด่วนที่สุดบริเวณใต้ใบหูอีกครั้งหนึ่ง ได้อยู่ รพ.พระมงกุฎฯ ๒ เดือน ก็ได้ออกจากโรงพยาบาล โดยได้รับการฉายแสง ๑๐ ครั้ง

อยู่ต่อมาอีก ๒ ปี คือในปี พ.ศ.๒๕๒๖ ข้าพเจ้าย้ายมารับราชการที่กองทัพภาคที่ ๑ ใบหูด้านขวาของข้าพเจ้าก็เปื่อยมีเลือดและน้ำเหลืองไหลออกมา และมีอาการคันอย่างยิ่ง แสดงว่าโรคมะเร็งได้กำเริบขึ้นมาอีก ผ่าตัดถึง ๒ ครั้งแล้วก็ยังไม่หาย หมอที่กองทัพภาคที่ ๑ ได้แนะนำให้เข้ารพ. ด่วนที่สุด อาจารย์สมใจ กอรป-สิริพัฒน์ บุตรสาวของข้าพเจ้า ได้พาไปยังโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ เพื่อทำการรักษา เมื่อไปถึงโรงพยาบาล ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นว่าที่ใต้ใบหูของข้าพเจ้านั้น ไม่มีส่วนใดที่จะให้ผ่าตัดอีกแล้ว ถ้าผ่าอีกทีก็ต้องตัดใบหูทิ้ง ถ้ามันจะหายเพราะการผ่าตัด มันคงจะหายไปแล้ว หากเข้าไปโรงพยาบาลอีก ก็จะมีแต่ตายกับตายลูกเดียว เพราะมะเร็งไม่เคยไว้ชีวิตใคร

ข้าพเจ้าคิดว่า ไหนๆ จะตาย ก็ไปตายที่วัดดีกว่า ขณะนั้นทางกองอนุศาสนาจารย์ กำลังจัดส่งอนุศาสนาจารย์ระดับยศ พันโทลงไป ให้ไปฝึกกรรมฐานรุ่นแรกกับพระครูภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อจรัญ) วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ข้าพเจ้าไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ที่จะต้องไปฝึกกรรมฐาน แต่ก็ได้ตกลงใจสมัครไปฝึกกรรมฐานร่วมกับคณะด้วย เพื่อรักษาโรคมะเร็งที่กำลังคุกคามอยู่

เมื่อไปถึงวัดอัมพวัน หลวงพ่อเห็นว่าข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคมะเร็ง จึงจัดกุฏิที่พักให้เป็นพิเศษ ไม่ต้องพักรวมกับหมู่คณะ อยู่คนเดียว เป็นกุฏิหลังเล็กๆ ด้านท้ายวัด และได้เริ่มทำการฝึกกรรมฐานในวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๒๖ เวลา ๑๓.๓๐ น. กิจเบื้องต้นในการฝึกกรรมฐาน คือ
๑. สมาทานศีล ๘ ร่วมกับคณะอนุศาสนาจารย์ที่ร่วมกันฝึก
๒. ตั้งจิตอธิษฐานขอให้เห็นธรรมที่ควรรู้ควรเห็นตามสมควรแก่การปฏิบัติ
๓. ตั้งจิตอธิษฐานถือมังสวิรัติ (กินเจ) ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งทางวัดรับทำอาหารเจให้ สำหรับผู้ต้องการทานอาหารเจ

เนื่องจากตนมีโรคร้ายเบียดเบียน คือ โรคมะเร็ง ขณะเข้าปฏิบัติกรรมฐานมีแผลที่บริเวณหูด้านขวา มีน้ำเหลืองน้ำหนองและเลือดที่ช้ำเลือดช้ำหนองไหลออกตลอดเวลา บางครั้งเอาแก้วมารองรับเลือดที่ไหลออกมา ซึ่งหยดติ๋งๆ เลือดไหลออกมาจนเต็มแก้ว มีอาการปวดแผลมาก จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานด้วยบุญบารมีที่ได้ทำมาในอดีตและกุศลกรรม คือการภาวนาที่จะได้บำเพ็ญต่อไปนี้ จงดลบันดาลขอให้ตัวเองหายจากโรคภัยไข้เจ็บที่กำลังเป็นอยู่ด้วย

ข้าพเจ้าและคณะได้ทำการฝึกกรรมฐานตามตารางที่ท่านกำหนดให้ เริ่มตั้งแต่เวลา ๐๔.๓๐ น. จนกระทั่งเวลา ๒๔.๐๐ น. ทุกๆ วัน มีการเดินจงกรม สวดมนต์ แผ่เมตตา นั่งสมาธิ ฟังธรรม ฟังการบรรยายธรรมจากหลวง-พ่อสลับกันไป ตลอด ๑ วัน ๑ คืน

ผลที่ปรากฏทางร่างกายในวันรุ่งขึ้น คือ วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๒๖ ข้าพเจ้ารู้สึกเบาเนื้อเบาตัว อาการปวดตามข้อตามร่างกายหายไป รู้สึกมีอาการปวดหน่วงๆ ที่ขาเหนือหัวเข่าด้านซ้าย จึงเปิดผ้ากางเกงที่คลุมอยู่ดู รู้สึกตกใจมาก เพราะมีเลือดสีดำไหลไปรวมกันอยู่บริเวณขาเหนือข้อพับหัวเข่า มีบริเวณที่เป็นเลือดสีดำคั่งอยู่ประมาณเท่าฝ่ามือ เป็นโลหิตสีดำอย่างดินหม้อน่าเกลียดมาก จากการปวดหนักหน่วงตามขาด้านซ้ายบริเวณที่เลือดคั่งอยู่ จึงได้มากราบเรียนให้หลวงพ่อทราบและเปิดขาให้หลวงพ่อดู รวมทั้งเพื่อนอนุศาสนาจารย์ก็ได้ดูด้วย หลวงพ่อท่านดูแล้วก็บอกว่า “โรคผุด” โรคจะหาย คือ โรคที่อยู่ในร่างกายเรานี้ มันไหลไปรวมกันอยู่ในที่เดียว คือ ในที่เราเห็นนั้น ต่อไปอาการที่ดำนี้ก็จะหายไปเอง แต่ต้องทาน้ำมันกินยาช่วย หลวงพ่อก็ไปจัดน้ำมันมนต์และจัดยามาให้ทาน

หลังจากทานยาเม็ดที่หลวงพ่อให้แล้ว มีอาการมีก้อนเนื้อเล็กๆ ผุดขึ้นตามร่างกายทั่วไป มีอาการคันมาก เมื่อก้อนเนื้อผุดขึ้นมาเป็นผื่นแล้วก็แตก มีน้ำเหลืองไหลออกเล็กน้อย แล้วก็แห้งหายไปและหายคัน อาการเป็นอยู่เช่นนี้จนถึงวันเสร็จสิ้นการฝึกกรรมฐาน อาการที่ว่านี้จึงทุเลา และอาการปวดแผลนั้นก็ทุเลาหายไป สำหรับบริเวณที่เหลือไปคั่งอยู่เหนือหัวเข่านั้น ต่อมาก็มีน้ำเหลืองไหลซึมออกมาตามเส้นที่ใต้ข้อพับหัวเข่า โดยที่ไม่มีแผล แต่ก็มีน้ำเหลืองไหลออกมามาก จนขากางเกงเปียกเพราะน้ำเหลืองไหลออกมามาก ไหลอยู่หลายวันก็หายไปเอง แผลที่หูก็พลอยแห้งหายไปด้วย และก็หายมาจนกระทั่งทุกวันนี้ นับว่าข้าพเจ้ารอดตายจากโรคมะเร็งได้อย่างประหลาดมหัศจรรย์ เพราะบารมีหลวงพ่อชุบชีวิตให้ใหม่

ผลที่ปรากฏทางจิตใจ การฝึกจิตวันที่ ๑๒ – ๑๓ กันยายน ๒๕๒๖ มีทุกขเวทนามาก อารมณ์ส่ายมาก นอกจากนั้นจิตยังติดการภาวนาแบบ “พุทโธ” ที่ตนเคยปฏิบัติอยู่ประจำ
ในวันที่ ๑๔ – ๑๕ กันยายน ๒๕๒๖ เดินจงกรมดีขึ้น การนั่งสมาธิคล้ายคนเอาเข็มมาแทงตัวจนสะดุ้งและมีอาการคล้ายมดไต่ไปตามตัว จนต้องเอามือจับออก แต่ก็ไม่มีอะไร
ในวันที่ ๑๖ – ๑๗ กันยายน ๒๕๒๖ ทุกขเวทนาน้อยลง จิตดิ่งเข้าสู่ความสงบดี มีอาการวูบลงเหมือนตกเหว มองเห็นตัวเอง เห็นทองตัวเองพองขึ้นยุบลง เวลาจิตเคลื่อนออกจากสมาธิออกตามเวลาที่ได้กำหนดไว้ตรงเวลาทุกครั้ง และอาการที่จิตถอนออกจากสมาธินั้น เหมือนสิ่งที่จมน้ำอยู่แล้วลอยขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนไม่ได้ตั้งใจ แต่เมื่อดูเวลาแล้วก็ปรากฏว่าตรงกับเวลาที่ตนตั้งใจไว้ว่าจะออกก่อนนั่งสมาธิ

วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๒๖ เป็นวันที่ครบกำหนดการฝึกกรรมฐาน และจะออกการฝึกกรรมฐาน วันนั้นเวลา ๐๕.๓๐ น.ข้าพเจ้าได้ไหว้พระสวดมนต์ แผ่เมตตา แผ่ส่วนกุศล ณ กุฏิที่พัก ให้แก่บิดา มารดา บุตร ภริยา ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ และผู้ที่รู้จักคุ้นเคยเคารพนับถือที่ล่วงลับไปแล้ว โดยระบุชื่อทุกคนที่แผ่ส่วนกุศลให้ เมื่อแผ่ส่วนกุศลระบุชื่อ “พระธรรมนิเทศทวยหาญ” หัวหน้าอนุศาสนาจารย์คนแรก ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นกับตนเอง คือ

ตัวเองรู้สึกมีอาการขนลุก ขนพอง ตื้นตันใจ น้ำตาไหลพราก สะอื้นขึ้นเองเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงกับร้องไห้ โดยมีอาการเป็นไปเอง ตัวเองบังคับตัวเองไม่ได้ แล้วตนเองก็เปล่งวาจาขึ้นมาด้วยเสียงอันดังว่า “ทุกข์ทรมานมานานแล้ว พึ่งจะหมดทุกข์หมดเวรวันนี้ ขอขอบใจที่แผ่ส่วนกุศลให้” แล้วตนเองก็ฟุบหมอบลงไปที่หมอน หมอบอยู่นานจึงมีอาการเข้าสู่ภาวะปกติ และแล้วก็ได้ลุกขึ้นแผ่ส่วนกุศลให้บุคคลอื่นต่อไป


เรื่องนี้ ได้เล่าอาการที่ปรากฏให้หลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณทราบ ท่านบอกว่า ที่เราแผ่ส่วนกุศลไปนั้น แสดงว่าคนที่เราแผ่ส่วนกุศลไปให้เขาได้รับส่วนบุญ และตัวเราเองก็จะหมดเวรหมดกรรมหมดทุกข์ร้อนเสียที และในวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๒๖ เป็นวันที่เราออกจากรรมฐาน สมาทานศีล๕ ทำบุญร่วมกัน ถวายผ้าป่า และได้กราบลาหลวงพ่อกลับต้นสังกัด

สำหรับข้าพเจ้านั้น ก็รอดตายมาเพราะการภาวนาที่วัดอัมพวัน โดยหลวงพ่อเป็นผู้ฝึกกรรมฐานให้เมื่อกลับจากการฝึกกรรมฐาน ตนเองสามารถมาทำงานที่กองทัพภาคที่ ๑ ได้ตามปกติ ไม่ต้องมีต้องมีการลางานและเข้าโรงพยาบาลกันอีก หูที่เป็นแผลเน่าเปื่อยก็หายไป ใครที่เห็นหูข้าพเจ้าเปื่อยและหายได้ ต่างก็อัศจรรย์กันทุกคน เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๓๓ นี้ ข้าพเจ้าไปงานสมโภช ปริญญาศิลปศาสตร์บัณฑิตกิตติมศักดิ์ ของพระราชสีมา-ภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ณ วัดพรหมราช อ.ปักธงชัย พระศรีธรรมาภรณ์ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ได้มาขอจับดูหูของข้าพเจ้าว่าหูของข้าพเจ้าหายจริงๆ หรือ

คนที่เป็นมะเร็งในระยะแรกนั้น อาจจะรักษาโดยวิธีผ่าตัดได้ แต่สำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งมากแล้วนั้น ยากที่จะรักษาให้หายขาดได้ มีแต่ตายกับตายลูกเดียว คุณไพเราะ ทสยันไชย ภริยาของข้าพเจ้า เป็นมะเร็งทีหลังข้าพเจ้า ก็ตายเพราะโรคมะเร็ง หลังจากที่รู้ว่าเป็นมะเร็งเพียง ๒ เดือน พันโท วณิชฯ ซึ่งเป็นแพทย์ผ่าตัดของข้าพเจ้าที่ รพ.ค่ายสุรนารีนั้น ก็ตายเพราะโรคมะเร็ง สำหรับข้าพเจ้าที่รอดตายมาได้จนถึงขณะนี้ เพราะบารมีของหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณโดยแท้ มีชีวิตเหมือนตายแล้วเกิดใหม่จริงๆ เพราะตั้งแต่ข้าพเจ้าไปภาวนารักษาโรคมะเร็งที่วัดอัมพวัน ข้าพเจ้าก็ถือมังสวิรัติไม่กินเนื้อสัตว์มาตั้งแต่บัดนั้น ชีวิตเลือดเนื้อของข้าพเจ้าในขณะนี้ จึงเป็นชีวิตใหม่ เลือดเนื้อใหม่ ไม่ใช่เลือดเนื้อที่ปนด้วยเนื้อสัตว์


ที่มา  : เรื่องภาวนารักษาโรคมะเร็ง โดยพันเอกวิโรจน์ ทสยันไชย หนังสือกฎแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ 4; ดาวส์โหลดหนังสือกฎแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ 4

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น